ชาวจีนแคะทั่วไปนั้น เป็นชนกลุ่มน้อยของชาวฮั่นที่อาศัยอยู่รวมกันที่เมืองกว่างตง (กวางตุ้ง) เจียงซี และฝูเจี้ยน กล่าวกันว่า บรรพบุรุษของพวกเรา อยู่ที่เมืองเหอหนาน และ ซ่านซี ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีนเมื่อ 1,700 ปีก่อน ปัจจุบัน ชาวจีนแคะได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน และยังได้อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลไปในหลายประเทศในโลก ชาวจีนแคะมีอิทธิพลสำคัญในเรื่องอาหารและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการปฏิวัติและเรื่องผู้นำทางการเมือง ซึ่งมีอิทธิพลทางการปกครองของ ประเทสจีนในยุคประวัติศาสตร์ไม่น้อย
ชาวจีนแคะในเมืองฝูเจี้ยน
ชาวจีนแคะที่ตั้งถิ่นฐานในเขตภูเขาของทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของฝูเจี้ยน ได้พัฒนารูบแบบสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่รู้จักกันในนาม ถู่โหลว (土樓) ซึ่งหมายถึงโครงสร้างทางตะวันออก ถู่โหลวมีรูปแบบกลมหรือสี่เหลี่ยม และถูกออกแบบให้เป็นกลุ่มอาคารที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งโครงสร้างนี้จะมีทางเข้าเพียงทางเดียว ไม่มีหน้าต่างที่ชั้นล่าง แต่ละชั้นจะมีประโยชน์ใช้สอยต่างกัน โดยชั้นแรกจะประกอบด้วยบ่อน้ำและที่เลี้ยงสัตว์ ชั้นสองเป็นที่เก็บอาหาร ส่วนชั้นที่สองและชั้นที่สูงกว่านั้นเป็นที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ ถู่โหลวยังสร้างขึ้นเพื่อป้องกันบรรดาโจรและคนร้ายด้วยที่มาของคำว่า แคะ
คำว่า แคะ นั้นกล่าวกันว่าเป็นคำเรียกที่ค่อนข้างใหม่ ระหว่างรัชสมัยของพระจักรพรรดิ์คังซี ได้โปรดให้มีการอพยพผู้คนแถบภูมิภาคชายฝั่งเป็นเวลาเกือบทศวรรษ เพื่อลดอิทธิพลที่ยังหลงเหลือของราชสำนักหมิง ซึ่งหลบหนีไปยังดินแดนซึ่งกลายเป็นไต้หวันในปัจจุบัน หลังจากที่กำจัดภัยคุกคามได้แล้ว พระจักรพรรดิ์คังซีได้มีพระบรมราชโองการ โปรดให้มีการอพยพผู้คนเข้าไปในดินแดนนี้อีกครั้ง ดังนั้นเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก มีการมอบเงินให้ครอบครัวแต่ละครอบครัว ไว้สำหรับเริ่มชีวิตใหม่โดยลงทะเบียนว่าเป็น 'ครอบครัวผู้มาเยือน' (客戶 เค่อฮู่) ส่วนชนดั้งเดิมซึ่งอพยพกลับมายังถิ่นเดิม ก็ได้พบกับการเข้ามาของผู้มาอยู่ใหม่ ชนดั้งเดิมก็เกิดความหวงแหนในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์กว่าของพวกเขา จึงผลักดันชนกลุ่มใหม่ออกไปรอบนอก หรือไปตั้งหลักทำมาหากินในเขตที่มีแต่ภูเขา เมื่อเวลาผ่านไปกระแสการต่อต้านในท้องถิ่นก็แผ่ขยาย และกล่าวกันว่าคำว่า แคะ กลายเป็นคำที่ชนดั้งเดิมใช้เรียกผู้มาอยู่ใหม่อย่างดูแคลน แต่เมื่อเวลาผ่านไปอีกสิ่งดังกล่าวก็จางลง และมีการยอมรับคำว่าแคะให้ใช้เรียกชาวจีนแคะได้ในที่สุด เป็นที่รู้กันดีว่าชาวนาจีนแคะ ใช้เท้าขณะอยู่ในท่ายืนดึงวัชพืชออกจากนาข้าว ซึ่งเป็นความหยิ่งในวัฒนธรรมของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่ยอมคุกเข่า และคลานบนดินแดนที่เป็นของชาวแมนจู
กรณีนี้ก็มีความน่าสนใจประการหนึ่ง เพราะว่าชนที่มาอยู่ใหม่อาจไม่ใช่บรรพบุรุษ ของผู้พูดภาษาจีนแคะทั้งหมด เนื่องจากคำว่าแคะเป็นคำที่เหมาคลุม จากการศึกษารากเหง้าสืบสายชาวกวางตุ้งและแคะ พบว่าแซ่บางแซ่มีบรรพบุรุษเดียวกัน แม้ว่าพวกเขาไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มชนอื่น ดั้งนั้นบรรพบุรุษของชาวแคะจึงเป็นชนกลุ่มหนึ่งซึ่งอพยพลงมาทางใต้ เราสามารถพบเห็นชาวแคะในมณฑลทางใต้ของจีน เช่น กวางตุ้ง ฮกเกี้ยนตะวันตก เจียงซี ตอนใต้ของหูหนาน กว่างซี ตอนใต้ของกุ้ยโจว ตะวันออกเฉียงใต้ของเสฉวน เกาะไหหลำและไต้หวัน
แม้ว่าชาวแคะจะมีวัฒนธรรมและภาษาที่แตกต่างเฉพาะตัวจากประชากรโดยรอบ แต่ชาวแคะก็ไม่ถูกจัดว่าเป็นชนกลุ่มน้อย และยังคงถูกจัดว่าเป็นชาวจีนฮั่น ในความขัดแย้งนี้ ชนกลุ่มเดิมถือว่าชาวแคะไม่ใช่คนจีนอย่างสิ้นเชิง แต่ว่าจากการสืบรากเหง้าซึ่งพบว่ามีบรรพบุรุษสายเดียวกัน ชาวแคะจึงเป็นชาวจีนเหมือนเพื่อนบ้านของพวกเขา ชาวจีนแคะยังมีบทบาทในการกบฎไท่ผิงซึ่งนำโดย หงซิ่วฉวนผู้ที่คิดว่าตนเองคือน้องชายของพระเยซู และเป็นผู้นำสาวกซึ่งก่อตั้งอาณาจักรแห่งสวรรค์ไท่ผิง (ไท่ ผิง เทียน กั๋ว)
ชาวแคะในมณฑลฮกเกี้ยน
ชาวแคะที่ตั้งถิ่นฐานอยู่มนมณฑลฝูเจี้ยน (หรือคนไทยรู้จักในนามมณฑลฮกเกี้ยน) ได้พัฒนาสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เรียกว่า ถู่โหลว ซึ่งแปลว่าสิ่งก่อสร้างที่ทำจากดิน ด้วยเหตุผลที่ว่าชาวแคะเป็นผู้ที่มาอยู่ใหม่ ต้องตั้งบ้านเรือนอยู่ในเขตภูเขา และเพื่อป้องกันจากพวกขโมย และปล้นสะดม ถู่โหลว มีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสหรือวงกลม ออกแบบให้เป็นได้ทั้งป้อมค่ายและอาคารคล้ายอพาร์ตเมนต์ในเวลาเดียวกัน มีแต่ประตูทางเข้าออก ไม่มีหน้าต่างในระดับพื้นดิน แต่ละชั้นก็จะมีหน้าที่แตกต่างกัน ชั้นแรกเป็นชั้นไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์ ชั้นสองเอาไว้สำหรับเก็บอาหาร และชั้นสามเป็นที่อยู่อาศัยชาวแคะในมณฑลกวางตุ้ง
ส่วนมากชาวแคะในมณฑลนี้จะอาศัยอยู่ทางตะวันออกของมณฑล โดยเฉพาะในเขต ซิ่งหนิง-เหมยเสี้ยน (ตัวเต็ม: 興寧-梅縣, ตัวย่อ: 兴宁-梅县) เช่นเดียวกับญาติของพวกเขาในมณฑลฮกเกี้ยน ชาวแคะก็มีสถาปัตยกรรมเป็นของตน เรียกว่า เหวยหลงวู (ตัวเต็ม: 圍龍屋, ตัวย่อ: 围龙屋, wéilóngwū) และ ซื่อเจี่ยวโหลว (四角楼 sìjǐaolóu)ชาวจีนแคะนอกดินแดนสาธารณรัฐประชาชนจีน
ชาวแคะส่วนมากที่อาศัยอยู่นอกแผ่นดินใหญ่จะอาศัยอยู่ที่มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย สาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) และติมอร์ตะวันออก
นอกจากนี้ชาวแคะก็ได้อพยพไปที่อื่น ๆ ด้วย เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เบลเยียม เยอรมนี และ เนเธอร์แลนด์ และยังพบชาวแคะในแอฟริกาใต้ มอริเชียส และหมู่เกาะแคริบเบียนโดยเฉพาะในจาเมก้า ชาวแคะพลัดถิ่นในสหราชอาณาจักรส่วนใหญ่มีความเกี่ยวดองกับฮ่องกง และน่าจะอพยพออกมาเมื่อครั้งฮ่องกงยังเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร
ในไต้หวัน ประชากรราวร้อยละ 15 เป็นชาวแคะ ดังนั้นจึงเป็นชนกลุ่มน้อยที่มีความสำคัญ ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 และ 19 เกิดความขัดแย้งถึงขั้นใช้อาวุธเข้าปะทะกันระหว่างชาวแคะและชาวฝูเหล่า (福佬) ขึ้นหลายครั้ง บางครั้งเกิดจากสาเหตุทางเศรษฐกิจ บ้างก็จากการเมือง ซึ่งทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจกันระหว่างชน 2 กลุ่มนี้มาเป็นระยะเวลานาน แต่อย่างไรก็ตามชนทั้ง 2 กลุ่มก็ยังมีการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน
บุคคลสำคัญที่เป็นชาวจีนแคะ
ถึงแม้ประชากรชาวแคะจะมีจำนวนน้อย แต่ก็มีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ของชาวจีนและของชาวจีนโพ้นทะเล โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิวัติและผู้นำทางการเมือง และก็ยังคงเป็นจริงอยู่ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของจีนซึ่งผู้นำจีนที่มีชื่อเสียงหลายคนเป็นชาวแคะ ระหว่างช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 ชาวจีนแคะที่มีชื่อเสียงถึง 3 ท่านได้ครองอำนาจทางการเมืองพร้อมๆกันใน 3 ประเทศซึ่งมีชาวจีนเป็นชนส่วนใหญ่ อันได้แก่ เติ้งเสี่ยวผิงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน หลี่เติงฮุยแห่งสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) และลีกวนยูแห่งสิงคโปร์
นอกจากนี้ ทั้ง ดร.ซุนยัดเซ็น เติ้งเสี่ยวผิง และลีกวนยู ซึ่งต่างก็เป็นชาวจีนแคะ และยังเป็น 3 คนในชาวจีน 4 คนซึ่งนิตยสารไทม์ (Time Magazine) จัดอันดับให้เป็นชาวเอเชียที่ทรงอิทธิพลที่สุด 20 อันดับแรกในศตวรรษที่ 20 ส่วนอันดับ 4 คือ เหมาเจ๋อตุง
(ค้นคว้าจาก วิกิพีเดีย)
ชาวจีนแคะฮากกาในเมืองไทย
จากการค้นคว้า ของฝ่ายวิชาการ ศูนย์ฮากกาศึกษา-กรุงเทพ
คนจีนฮากกาในเมืองไทย เริ่มปรากฎร่องรอยการอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ระหว่างช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา ก่อนปี พ.ศ. 2300
คนฮากกา อพยพเข้าไทยมากที่สุดสมัย รัชกาลที่ 5 ช่วงปี พ.ศ.2411-2453 ซึ่งเป็นยุคที่รัฐบาลไทยกำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เช่นก่อสร้างถนน สะพาน ทางรถไฟทุกภาค ก่อสร้างอาคารต่างๆในกรุงเทพมหานครอย่างมากมาย ก็อาศัย ช่างฝีมือชาวฮากกาไม่น้อย
จำนวนสัดส่วน ชาวจีนในเมืองไทย
แต้จิ๋ว 56 % ฮากกา 16 % ไหหล่ำ 12 % กวางตุ้ง 7 % ฮกเกี้ยน 7 % อื่นๆ 2 %
สรุปประชากรฮากกา ตามสำเนียงถิ่น
จากเมือง สำเนียงถิ่น % จำนวน/คน
เหมยโจว ฟุ่งซุ่น 30 318,000 คน
เหมยเซี่ยน 22 233,200 คน
ไท้ปู 8 84,800 คน
หินเหม่น 7 74,200 คน
แต้จิ๋ว เกี้ยดหย่อง 15 159,000 คน
เกี้ยดซี 7 74,200 คน
ประวัติการก่อตั้งสมาคมฮากกา พิษณุโลก
ประวัติ-การก่อตั้งสมาคมฮากกา พิษณุโลก
ฮากกา คือ คำเรียกขาน ชาวจีนแคะ ซึ่งเป็นชนชาติจีนภาษาหนึ่งที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนมณฑณ กวางตุ้ง จังหวัด เจียงซี และ ฝูเจี้ยน ส่วนใหญ่ของ คนฮากกาในพิษณุโลกนั้นมักจะมาจาก ตำบลฮงสุน และ เหมยเยิ่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น สอง ภาษาถิ่น เรียกว่า ชิมคั่ก(แคะลึก) กับ ปั้นซันคั่ก(แคะตื้น) ชนชาวจีนแคะในพิษณุโลกนั้น มีจำนวนไม่ต่ำกว่า สี่-ห้าร้อยครอบครัว ประกอบอาชีพหลากหลาย เช่น ร้านขายทอง ร้านเสื้อผ้า ร้านมอเตอร์ไซค์ บางส่วนก็ทำ สวนผัก ซึ่งยังคงอาศัยอยู่บริเวณ สะพานสาม ตำบลบึงพระ จนถึงปัจจุบันนี้ ชาวจีนแคะไม่น้อยในจังหวัดพิษณุโลก มีชื่อเสียง มีหน้า มีตาในระดับสังคม ชั้นนำ และมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมเมือง โดยให้ความร่วมมือ สรรค์สร้างองค์กรของตนเองให้ได้รับการยอมรับจากสังคมชาวจีน ภาษาอื่นๆ เป็นอย่างดี
การรวมกลุ่มของชาวฮากกาในจังหวัดพิษณุโลก
ในอดีตประมาณปี พ.ศ.2500 จังหวัดพิษณุโลก เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ เผาผลาญตลาดในเมืองพิษณุโลกจนวอดวายเกือบหมดเมือง รวมทั้งร้านของชาวฮากกาไปทั้งสิ้น ชุมชนชาวจีนในจังหวัดพิษณุโลก ความเดือดร้อนก่อให้เกิดความสามัคคี ชุมชนชาวฮากกา ก็เริ่มกำเนิดตั้งแต่ตอนนั้น โดยเริ่มจาก บรรดาพ่อค้าหนุ่มๆชาวฮากกา(ในสมัยนั้นนะครับ ตอนนี้แก่งั่ก บางคนก็ขึ้นสวรรคืไปแล้ว) ได้มีการรวมตัวกันกินเลี้ยงอาหารเย็นกัน เรียกกันว่า"ผู่โหล่วเฟ่" ทุกเดือน จนเกิดความคิดในการก่อตั้งสมาคมฮากกาพิษณุโลกขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีนาย.........เจ้าของร้านทองโง้วหลีง้วน นาย.................เจ้าของร้านจีนฮวดหลี นายเฝ่งจี้ แช๋ตั้ง นาย..................ร้านทองตั้งแซหลี และนายเสียม......เจ้าของโรงหนังเจริญผล พร้อมทั้งบรรดาเด็กหนุ่มๆสมัยก่อ เช่นคุณวิโรจน์ จิรัฐติกาลโชติ(เฮียคล่อง) ร่วมกันก่อตั้งสมาคมฮากกา จังหวัดพิษณุโลกขึ้น
การก่อสร้างอาคารสมาคมฮากกาพิษณุโลก
...................................
การก่อตั้งศาลเจ้ากวนอู ในบริเณสมาคมฮากกา
..........................................
นายก และ คณะกรรมการชุดแรก
............................
นายกคนที่ 2...............3.....4...5
การบริหารสมาคมฯ
การบริหารสมาคมในยุคปัจจุบัน พ.ศ. 2553-2554
ในสมัยบริหารที่ 18 มี นายอุทัย วุฒิกุลประพันธ์ เป็นนายก
อุปนายกสมาคม 13 ท่าน คือ..
นายสมยศ เผ่าธัญลักษณ์
นายประเสริฐ สระคู
นายปาฏิหาริย์ ประกาศสัจธรรม
นายชัยวัฒน์ เรืองพรชัย
นายสุภัค ชาญชุตินันทต์
นางกนิษฐา สถาพรเสริมสุข
นายวสันต์ วชิราศรีศิริกุล
นายกิตติ ปิตินิจนิรันดร์
นายชุนดี้ สุนทรธรรมกุล
นายบัณฑิต อนุรักษ์ศักดิ์
นายมนตรี อู่วุฒิพงษ์
นางสุรภี เหล็งประพันธ์
นางกฤษณา เลศะวานิช
เลขาจีน
นายอุทัย กัยวิกัยโกศล
รองเลขาจีน
นายฉัตรชัย อนันต์ธนาโรจน์
เลขาไทย
นายชัยทัศน์ อู่พุฒินันท์
รองเลขาไทย
นายสันติ บรรจง
เหรัญญิก
นายเทียม มั่นเจริญศิริ
รองเหรัญญิก
นายสิระ จินดารักษ์
.........
........................
ความสัมพันธ์ ระหว่างสมาคมฯและชุมชนเมือง
.......................
ความสัมพันธ์ ระหว่างองค์กรชาวจีนอื่นๆใน จ.พิษณุโลก
............................
กิจกรรมของสมาคมต่อชุมชนเมือง
........................
คอยอ่านต่อนะครับ...
การก่อสร้างอาคารสมาคมฮากกาพิษณุโลก
...................................
การก่อตั้งศาลเจ้ากวนอู ในบริเณสมาคมฮากกา
..........................................
นายก และ คณะกรรมการชุดแรก
............................
นายกคนที่ 2...............3.....4...5
การบริหารสมาคมฯ
การบริหารสมาคมในยุคปัจจุบัน พ.ศ. 2553-2554
ในสมัยบริหารที่ 18 มี นายอุทัย วุฒิกุลประพันธ์ เป็นนายก
อุปนายกสมาคม 13 ท่าน คือ..
นายสมยศ เผ่าธัญลักษณ์
นายประเสริฐ สระคู
นายปาฏิหาริย์ ประกาศสัจธรรม
นายชัยวัฒน์ เรืองพรชัย
นายสุภัค ชาญชุตินันทต์
นางกนิษฐา สถาพรเสริมสุข
นายวสันต์ วชิราศรีศิริกุล
นายกิตติ ปิตินิจนิรันดร์
นายชุนดี้ สุนทรธรรมกุล
นายบัณฑิต อนุรักษ์ศักดิ์
นายมนตรี อู่วุฒิพงษ์
นางสุรภี เหล็งประพันธ์
นางกฤษณา เลศะวานิช
เลขาจีน
นายอุทัย กัยวิกัยโกศล
รองเลขาจีน
นายฉัตรชัย อนันต์ธนาโรจน์
เลขาไทย
นายชัยทัศน์ อู่พุฒินันท์
รองเลขาไทย
นายสันติ บรรจง
เหรัญญิก
นายเทียม มั่นเจริญศิริ
รองเหรัญญิก
นายสิระ จินดารักษ์
.........
........................
ความสัมพันธ์ ระหว่างสมาคมฯและชุมชนเมือง
.......................
ความสัมพันธ์ ระหว่างองค์กรชาวจีนอื่นๆใน จ.พิษณุโลก
............................
กิจกรรมของสมาคมต่อชุมชนเมือง
........................
คอยอ่านต่อนะครับ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น